กฎหมายดื่มแล้วขับ : สิ่งที่คุณควรรู้เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงความผิด

การดื่มแอลกอฮอล์และขับรถถือเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดทั้งต่อตัวผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ซึ่งการดื่มแล้วขับเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ที่มีกฎหมายเข้มงวดเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการขับขี่ในขณะที่มีการดื่มแอลกอฮอล์

ในบทความนี้เราจะพูดถึง กฎหมายดื่มแล้วขับ ที่เจ้าของรถทุกคนควรเข้าใจ ทั้งในแง่ของการกำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ที่สามารถดื่มได้ก่อนขับขี่ การตรวจวัดแอลกอฮอล์ และผลที่ตามมาจากการฝ่าฝืนกฎหมายนี้


1. กฎหมายและมาตรฐานการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด (BAC)

ตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก ของประเทศไทย กฎหมายกำหนดระดับการดื่มแอลกอฮอล์ที่อนุญาตในการขับรถไว้ที่ 0.05% BAC (Blood Alcohol Concentration) สำหรับผู้ขับขี่ทั่วไป และ 0.02% BAC สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งหมายความว่า:

  • 0.05% BAC หมายถึงว่า ในแต่ละ 100 มิลลิลิตรของเลือด จะมีแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 0.05 กรัม
  • 0.02% BAC สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ต้องการมีความสามารถในการขับขี่อย่างปลอดภัย

หากผู้ขับขี่มีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะถือว่าผิดกฎหมายและสามารถถูกจับกุมหรือดำเนินคดีได้

2. การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด

การตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น:

  • การทดสอบทางลมหายใจ (Breathalyzer): การใช้เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจหาผู้ขับขี่ที่อาจจะมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย
  • การตรวจเลือด: หากตรวจพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในลมหายใจสูงกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสั่งตรวจเลือดเพื่อยืนยันผลได้

3. ผลของการดื่มแล้วขับ

การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อการขับขี่ในหลายด้าน เช่น:

  • การทำให้การตัดสินใจช้า: การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจช้าลง เช่น การเลี้ยวรถหรือการตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ อาจทำให้ไม่ทันการณ์
  • ความสามารถในการมองเห็นลดลง: แอลกอฮอล์ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน รวมถึงความสามารถในการมองเห็นในที่มืดหรือในสภาพอากาศที่ไม่ดี
  • การประสานงานของร่างกาย: แอลกอฮอล์ทำให้การประสานงานระหว่างมือและตากลายเป็นเรื่องยาก และทำให้การควบคุมรถยากขึ้น

4. บทลงโทษสำหรับการดื่มแล้วขับ

การขับรถในขณะมีระดับแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สามารถได้รับบทลงโทษดังนี้:

  • ปรับเงิน: การดื่มแล้วขับสามารถถูกปรับเงินได้สูงถึง 10,000 บาท หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
  • การจำคุก: หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดอย่างมาก และทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • การยึดใบอนุญาตขับขี่: ในบางกรณีที่มีความผิดซ้ำซ้อนหรือทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อาจทำให้ใบอนุญาตขับขี่ถูกยึดและไม่สามารถขับรถได้ในระยะเวลาหนึ่ง

5. ข้อควรระวังในการขับรถหลังดื่ม

  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มก่อนขับ: วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับคือการหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับขี่
  • ใช้บริการขนส่งสาธารณะ: หากคุณดื่มแอลกอฮอล์ ควรใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือบริการแท็กซี่แทนการขับรถเอง
  • แต่งตั้งคนขับแทน: หากคุณมีแผนการดื่มกับเพื่อนหรือครอบครัว ควรเลือกคนที่ไม่ดื่มหรือดื่มน้อยเป็นผู้ขับรถ

6. การรณรงค์ลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ

หน่วยงานรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ได้มีการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของการดื่มแล้วขับ และให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของแอลกอฮอล์ต่อความสามารถในการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้คนใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือใช้คนขับแทน


สรุป

การดื่มแอลกอฮอล์และขับรถเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงและผิดกฎหมายในประเทศไทย ผู้ขับขี่ควรเข้าใจถึงผลกระทบของการดื่มแล้วขับที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการควบคุมรถที่ไม่ดี ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของทุกคน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หากต้องขับรถ หรือเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดและอันตรายที่จะเกิดขึ้น.